ความจริงของอดีตพนักงานเงินเดือน

การเคยเป็นพนักงานเงินเดือนนั้น ผมทดลองมาแล้วครับว่ามันไม่เหมาะกับผมเลย ในความเชื่อตลอดชีวิตของผมนั้นเชื่อว่าการได้ทำงานออฟฟิตนั้นเป้นอะไรที่มั่นคง การเข้าไปเรียนในมหาลัยพอจบออกมาเราก็ตั้งใจมาทำงานในบริษัทที่มั่นคง พอลองแล่วพบว่าพนักงานเงินเดือนนั้นคนที่จะทำได้นั้นต้องมีคุณสมบัติดังนี้

ชีวิตพนักงานเงินเดือน

  1. ชอบทำงานแบบเดิมๆตลอดเวลา
  2. เข้าออกงานเป็นเวลา
  3. ไม่มีโอกาสทำงานอะไรท้าทายและแปลกใหม่
  4. ชีวิตอยู่แต่กับสิ่งเดิมๆ
  5. การต้องได้ทำงานที่เราไม่ได้อยากทำและเจอคนที่เราไม่อยากทำงานด้วย
  6. เลี่ยงงานที่ไม่อยากทำไม่ได้
  7. ชีวิตผูกติดกับองกรณ์มากเกินไปจนลืมการใช้ชีวิตของตัวเอง
  8. ไม่มีเวลาให้กับคนรอบข้าง คนรอบตัว
  9. เมื่อหมดเวลาการทำงานแก่ตัวลงก็ทำอะไรไม่ได้
  10. ชีวิตผูกขาดกับเจ้านายตลอดเวลา

เรียนจบออกมาทำงานออฟฟิต

การทำงานแบบเรื่อยเปื่อย โดยขาดการพัฒนาตัวเอง ทำอยู่กับสิ่งเดิม ไม่มีความท้าทายให้กับชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่ผมเจอมาตลอดระยะเวลาในการทำงานในออฟฟิต ทั้งนั้นคนอย่างผมจึงไม่เหมาะกับการทำงานรับเงินเดือนอย่างแน่นอน เพราะด้วยความที่เป้นคนชอบความอิสระ อยากทำงานที่ท้าทาย อยากมีเวลาให้กับตัวเองมากๆ แต่ทัศนคติของผมในตอนนั้นคิดว่าอยากทำงานเยอะๆในออฟฟิต ซึ่งช่วงแรกก็ดีเพื่อได้ความรู้ แต่พอนานๆไปเริ่มจะรู้สึกเหมือนโดนหลอกใช้ จนกลายเป้นคนโง่คนนึงที่ทำงานหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่รายได้เท่าเดิม ไม่มีเวลาได้ทำอะไรที่เป็นของตัวเองเลย ในตอนนั้นผมเจ็บปวดมาก การไม่ได้ทำอะไรที่ชอบนั้นเป็นความทุกข์ที่หนักมาสำหรับผม ผมจึงรู้ตัวว่าไม่เหมาะกับงานในออฟฟิตแน่นอน

ชีวิตนักดนตรีตอนอยู่เชียงใหม่

ผมหยิบไดอะรี่ของผมที่ผมบันทึกข้อความลงไปบนสมุดเล่มเล็กๆมาดูแล้วย้อนเหตุการณ์วันนั้น วันที่ผมตัดสินใจลาออกจากงานวันนั้น

“23 เมษา 2552 เวลา 18.35 น. ณ สวนลุมพินี ผมนั่งร้องไห้คนเดียวด้วยความอึดอัดในการทำงานช่วงนั้น ผมรู้สึกว่าผมไม่มีความสุขเลย เงินไม่ได้สร้างความสุขให้กับผมเลย การงานที่ใหญ่ขึ้นในตอนนั้น กับดัชนีด้านจิตใจของผมกลับดิ่งลง ผมไม่เหมาะกับงานแบบนี้เลย สังคมแบบนี้ ชีวิตในออฟฟิต ความรู้สึกมันห่อเหี่ยวลง ผมต้องการอิสระ ผมต้องการเวลาให้กับตัวเอง”……………..

งานดนตรีในกรุงเทพ ณ ปัจจุบัน

จุดยึดเหนี่ยวของผมคืออะไร การทำอะไรที่เป็นตัวเองนั้นเป็นจุดหมายของชีวิตผมแน่ๆเลย หากย้อนไปเมื่อครั้งที่ผมเรียนที่เชียงใหม่ ผมเล่นดนตรีที่เชียงใหม่ ทำงานเลี้ยงตัวเองเรียนไปด้วยนับสิบปี พอเรียนจบผมก็ทิ้งงานดนตรีที่เชียงใหม่ทั้งหมดของผมเพื่อมาทำงานที่กรุงเทพ ทิ้งเงินจำนวนครึ่งแสนต่อเดือนในตอนนั้นเมื่อสิบกว่าปีก่อนไปเพื่อพบอะไรใหม่ ตอนนี้ผมพบแล้วว่าดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมตอนนี้เลยก็ว่าได้ ณ ตอนนี้

สตูดิโอเล็กๆนอกจากทำคาฮอง ก็ซ้อมตีคาฮองเพลงที่ผมชอบฟัง

ผมเรียนจบด้านการออกแบบ ศิลปะจึงติดตัวผมมาหาเลี้ยงตัวเองได้ตลอดชีวิต และตอนนี้ก็ได้ใช้มันอย่างเต็มที่กว่าตอนที่ทำงานออฟฟิตมากมาย วิชาศิลปะแขนงต่างๆผมได้นำมาใช้ทั้งหมด ความศิลปินผมจึงมีมากกว่าความเป็นนักธุรกิจซะอีก บางครั้งคำตอบของชีวิตคนเรานั้นคำตอบมันจะมาจากการกระทำของตัวเอง ทำยังไงได้อย่างนั้น เป็นเรื่องปรกติของคนเราคำถามเป้นยังไง คำตอบคือสิ่งนั้น วันนี้ผมได้คำตอบของชีวิตแล้ว เพราะการค้นพบคำตอบของชีวิตเร็วแค่ไหน เราย่อมได้เปรียบคนอื่นมากมาย เพราะบางคนมาค้นพบชีวิตของตัวเองว่าต้องการอะไรตอนที่ตัวเองจะลาจากโลกนี้ไปแล้ว หรือค้นพบชีวิตตอนที่มันสายไปแล้ว

ชีวิตนักดนตรี

ผมขอย้อนมาพูดถึงตอนที่ผมเล่นดนตรีที่เชียงใหม่เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นงานเยอะมาก เล่นตามร้านต่างๆในจังหวัด ทุกร้านที่นั่นผมเล่นมาหมด ตั้งแต่ร้านเหล้าเล็กๆข้างทางยันวอมอัพ มั้งกี้เลย ผมเล่นวันละ 5 ชม.(ในตอนนั้น) เล่นวันละ 5 ร้าน ขับมอร์ไซด์เล่นดนตรีทุกวัน เพราะร้านเหล้าและร้านอาหารที่เชียงใหม่นั้นส่วนใหญ่จ้างให้เราเล่นทุกวันเวลาเดิม ผมเลยไม่แปลกใจเลยที่ตอนนี้ผมร้องเพลงได้นาน ร้องได้อึด เพราะร้องมาเยอะมากจนคอรับงานหนักๆได้ ตอนนั้นฟิตมาก ผมจึงเอาความถนัดของชีวิตช่วงนั้นมาใช้กับงานดนตรีกับวง iHearband และพัฒนาตัวเองไปด้วย ชีวิตผมเริ่มมีอิสระมากขึ้นกว่าตอนทำงานออฟฟิตมากมาย ดัชนีความสุขของผมเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมมากมาย

กับปัจจุบันโรงงานทำกลองของผม

บล้อกนี้ผมไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องลาออกจากงานออฟฟอิตมาทำของตัวเองเสมอไปนะครับ แค่จะบอกว่ารีบค้นหาตัวเองให้เจอไวๆ แล้วรีบทำ ชีวิตคนเราช่างสั้นนัก มีอะไรอยากทำอะไรให้รีบทำ ก่อนที่มันจะสายเกินไป