10 อย่างที่ไม่กล้าลาออก

หลายๆท่านคงเข้าใจความหมายด้านบนมากน้อยแค่ไหนนั้น มาเริ่มอ่านกันดีกว่าว่าสิ่งที่เราต้องทำงานที่เราไม่รักนั้นมันมีความทุกข์ยังไง แล้วทำไมเมื่อไม่ชอบ เบื่องานนั้น แต่จำใจต้องอยู่ มันมีปัจจัยอะไรมาขวางกั้นเราที่ทำให้เราไม่กล้าออกมาทำอะไรเป็นของตัวเอง เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาพอจะบอกอะไรผมได้มาก ว่าการทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนสำหรับผมคงไม่เหมาะกันอย่างแรง ความกดดันต่างๆที่มีข้างใน ในทุกองค์กรณ์ต้องเจอทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ โดยที่เราเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอ ทำในสิ่งที่ไม่ได้อยากทำ และไม่ได้ทำอะไรที่ชอบ หลายส่ิงหลายอย่างหล่อหลอมให้ผมเชื่อแล้วครับว่า รีบเถอะ รีบหาอะไรที่ตัวเองชอบ แล้วทำมันซะ ในวันที่สายไปเราจะมาเสียดายทีหลังไม่ได้นะครับ

ผมคงไม่อยากทำงานหนักๆเพื่อเก็บเงินไว้เที่ยวตอนแก่ไม่มีแรงเที่ยวได้แต่มอง และเสียดายแบบที่หลายๆคนพบเจอกับตัว ทำงานหนักเก็บเงินเพื่ออะไร เพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาลงั้นหรือ ??? ไม่ใช่ผมแน่นอน การทำงานรอเงินบำนาญแบบแต่ก่อนนั้นมันไม่มีอีกแล้ว มีแต่ต้องหาๆๆๆๆๆๆๆและหาให้ได้มา จนเกิดความเห็นแก่ตัวในสังคม ผมเองก็เครียดเหมือนกันครับว่าจะออกดีไม่ออกดี มีหลายอย่างเข้ามากระทบเมื่อมองดูการงานในออฟฟิตของผมที่เคยทำ เป็นองค์กรณ์ในฝันของผมที่ผมอยากเข้าไปทำมากๆ จนเรียนจบ แล้วได้เข้าไปทำงานในองค์กรณ์นั้นอย่างภาคภูมิใจมาก เพราะองค์กรณ์ที่ผมอยู่เป็นองค์กรณ์ที่มีชื่อเสียงทั้งในระดับโลกและเอเชีย ซึ่งดูจะไปได้สวยเลยทีเดียว

แต่ข้อดีของการได้ทำงานที่นี่นั้นคือ ผมได้เจอเจ้านายที่ผมรักที่สุด ทุกครั้งที่ผมเห็นท่านผมจะรู้สึกดีใจทุกครั้ง และท่านเป็นแรงบันดาลใจของผมที่อยากมาทำที่นี่ ผมชอบการทำงานที่รวดเร็ว ตัดสินใจเด็ดขาด มีทัศนคติที่ใหม่มาก เป็นคนหัวสมัยใหม่ ยิ่งทำให้ผมปลาบปลื้มมากกว่าเดิม และยิ่งได้ทำงานกับเจ้านายของผมท่านนี้ ความเป็นธรรมชาติของเจ้านายของผมท่านนี้เป็นเสนท์ที่ผมคิดว่าหายากมากในเมืองไทยที่จะมีผู้บริหารที่เก่ง มีวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยมมากๆ เป็นแบบอย่างที่ผมอยากเจริญรอยตาม ท่านเป็นคนให้โอกาสคนนำเสนอสิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ผมทำงานกับเจ้านายท่านนี้นับว่าเป็นบุญของชีวิตผมที่ได้รับใช้ และทำงานให้กับเจ้านายของผม และแรงบันดาลใจในความเชื่อในการทำงานของผม ชีวิตนี้ผมคงไม่มีทางลืมผู้บริหารที่สุดยอดของชีวิตผม ผู้บริหารที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้คือ คุณเอก สุรสิทธิ์ ศรีอรทัยกุล ขอกราบขอบพระคุณท่านมากๆครับ ท่านทำให้ผมทำงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย เพราะมีแรงใจและกำลังใจจากท่าน ผมเคยทำงานหามรุ่งหามค่ำที่สนามบอลของท่าน คุณเอกโทรมาบอกว่าเป็นยังไงบ้าง เท่านี้แหละครับคนทำงานอย่างผมถึงกับน้ำตาคลอเพราะ ท่านมองดูลูกน้องและพนักงานอย่างเต็มที่ ผมถึงไม่แปลกใจเลยครับที่พนักงานในบริษัทของผมรักคุณเอกมากที่สุด ผมก็รักท่านมากๆครับ ขอกราบขอบพระคุณคูณเอกอีกครั้งครับ

แต่การทำงานก็ใช่ว่าจะราบรื่นดั่งใจหวัง มันก็มักจะมีอุปสรรคจากสังคมในออฟฟิตในนั้นคอยบั่นทอนกำลังใจในการทำงาน ปีแรกๆที่ได้ทำนั้นเราทำแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่พอเจอคนในออฟฟิตที่เค้าอยู่มาก่อนเราดักทาง กีดกัน หรือพยายามหาทางให้เราพบกับอุปสรรคในการทำงาน ใช้ความเก๋ามาเป็นอาวุธดักคนที่ทำงานดีกว่า นี่ก็เป็นตัวบั่นทอนกำลังใจและแรงบันดาลใจให้ลดลงทุกวัน จนวันนึงเมื่อถึงเวลาที่ต้องไป มันรู้สึกโดดเดี่ยว ย้อนไปเมื่อปีก่อนที่โลตัส พระราม4 ตอนเย็น ผมนั่งเหม่อในร้านกาแฟในนั้น นั่งคิด คิดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆและก็คิดว่าจะเดินยังไงต่อไป ในเมื่อแรงใจ และสิ่งต่างๆทำให้คิดว่าต้องทำยังไงต่อไป ก็รู้สึกว่าวันนั้นผมซื้อหนังสือที่ชื่อว่า”การลาออกครั้งสุดท้าย”ของใบพัด แค่ชื่อก็บอกแล้วครับว่าน่าสนใจ ผมอ่านหนังสือของใบพัดเล่มนี้จนจบเล่มภายในวันเดียว แล้วเกิดวูบวาบในหัวใจที่พองโต ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบภายในวันนั้น ทั้งคืน วันรุ่งขึ้นผมก็ตัดสินใจลาออกเลยโดยไม่มีเยื่อใยเหลือเลย แรงกดดันทั้งหมดที่ผมมีมันระเบิดออกมาแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ที่ไม่กล้าลาออกจากงานในออฟฟิตนั้นมีอยู่สิบอย่างที่อยู่ในหัวผมในตอนนั้น มี 10 คำที่น่ากลัวมากในตอนนั้น

1.ภาระ

2.เงินเดือนที่ได้

3.ความมั่นคง

4.ค่าใช้จ่าย

5.จะทำอะไรต่อ

6.จะหาเงินจากไหน

7.ความน่าเชื่อถือในสังคม

8.อนาคตที่ไม่แน่นอน

9.ไม่มีที่ไป

10.รายได้ไม่ต่อเนื่อง

หากคุณเอาทั้งสิบคำนี้โยนทิ้งได้เหมือนผม ก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น หากยังต้องการอยู่ในออฟฟิตจนแก่รอโดนไล่ออกตอนแก่ ก็ไม่ว่ากัน แล้วเมื่อวันนึงมันจะย้อนเข้ามาให้เป็นคำถามที่คุณตอบไม่ได้เมื่อยามที่คุณอายุมากขึ้นและหมดโอกาสดีต่างๆที่คุณไม่เคยได้ทำ แต่อยากทำ แต่ไม่มีโอกาส จะมาคิดได้เมื่อตอนสายไปแล้ว ปู่เคยบอกว่า “ไปที่ชอบที่ชอบตอนที่ยังไม่ตาย ดีกว่าให้ตอนตายแล้วค่อยมีคนมาบอกให้ไปที่ชอบที่ชอบ อันนั้นไม่มีความสุขเลย”